เปิดประวัติ “แด็กซ์” นักร้องวง “บิ๊กแอส” กับเสียงอันเป็นเอกลักษณ์

 เปิดประวัติ “แด็กซ์” นักร้องวง “บิ๊กแอส” กับเสียงอันเป็นเอกลักษณ์

บิ๊กแอส ( BiG Ass ) ใครๆก็รู้จักกับวงร็อกระดับตำนานวงนี้ ในสมัยก่อนนั้น บิ๊กแอสได้ถูกมองว่าเป็นวงเด็กช่าง ทั้งรูปลักษณ์ การแต่งกาย คาแรคเตอร์ของพวกเขา

เอกลักษณ์ วงศ์ฉลาด หรือ แด็กซ์ อดีตนักร้องดังวงบิ๊กแอส เมื่อได้เรียนจบในระดับชั้นมัธยมต้นแล้วนั้น ก็ได้ไปเรียนต่อ ปวช.ที่โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต  เขาบอกว่าตนเองนั้นไม่อยากเรียนอยู่ในสายสามัญ รู้สึกอยากที่จะเรียนออกแบบ เขียนแบบ เลยเลือกที่จะเรียนก่อสร้าง พร้อมยังบอกว่าการที่เด็กอาชีวะนั้นตีกันถ์อเป็นเรื่องธรรมดาหากไม่มีนั้นสิถือว่าผิดปกติ เพราะมันเป็นเรื่องของฮร์โมน

แด๊กซ์ ได้เริ่มที่จะรู้จักกับ อ๊อฟ พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีร์ต้าแห่งวงบิ๊กแอส เพราะเป็นรุ่นพี่ในสถาบันเดียวกันแต่มีความสนิทสนมกันเหมือนเพื่อน ในสมัยนั้นคนมักชอบที่จะฟังแนวเพลงเพื่อชีวิตกันซึ่งต่างกับเขาที่มีความชอบในแนวเพลง เฮฟวี่และแฮร์แบร์ ตอนนั้นอ๊อฟมีวงอยู่จึงได้ชวนแด๊กซ์ มาเล่นที่ห้องซ้อมด้วยกัน แล้วเหมือนถูกชะตากันเพราะหลังจากนั้นก็อยู่กันยาว

ชื่อวงนั้น แด๊กซ์ได้เป็นคนที่คิดมาจากคำว่า Big Ass – Bad Face เป็นการตั้งชื่อเอาฮาที่มาจากรูปลักษณ์ของตนและเพื่อน บิ๊กแอสนั้นเริ่มเข้าไปประกวนในสนามจริงต่างๆ ขนได้ออกผลงานในชุดแรก คือ Not Bad ในปี 2540  แด๊กซ์รู้สึกประสบความสำเร็จและภูมิใจมาก เพราะการออกเทปในยุคนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากและในปี พ.ศ.2543 ก็ได้ทำการออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ XL กับทาง Music Bugs 3 ปี ถัดมา ได้มีการออกอัลบั้มในชุดที่ 3 ชื่อว่า My World ในขณะนั้นบิ๊กแอสได้เห็นถึงแนวทางเพลงที่จะโดนใจคนหมู่มาก จนในที่สุด ก็ร่วมงานกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ และมีอัลบั้มแรกร่วมกัน ชื่อว่า Seven เมื่อได้ก้าวเข้าสู่แกรมมี่แล้ว บิ๊กแอส ได้มีการปรับตัวและโตขึ้นอย่างมาก ทั้งในเรื่องการวางตัวและการทำงานเพลง งานเพลงของบิ๊กแอสที่สมาชิกในวงถ่ายทอดจนเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังได้นั้น คือวิงเกิ้ลแรกที่ได้เข้ามาร่วมงานกับทางแกรมมี่ นั้นคือเพลงเล่นของสูง

ต่อมามีเพลงประกอบภาพยนต์ Suck Seed ห่วยขั้นเทพ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแยกทางกันของแด๊กซ์กับวง เพลงนี้สร้างความสับสนและงุนงงให้กับแฟนคลับของวงเป็นจำนวนมาก เพราะคนที่ขับร้องนั้นคืออ๊อฟ ไม่ใช่แด๊กซ์ ซึ่งเป็นนักร้องนำ เป็นเพราะว่า พี่เก้ง จิระ มะลิกุล โปรดิวเซอร์ของภาพยนต์นั้นเป็นคนเลือกเวอร์ชั่นเดโมที่เป็นเสียงของอ๊อฟ ก่อนที่จะได้ฟังเวอร์ชั่นของแด๊กซ์ ทั้งที่แด๊กซ์นั้นได้อยู่ในขั้นตอนของการทำเพลงทั้งหมด จนเสร็จ และตัวเขาเองก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน พอเขาได้รู้ในภายหลังนั้นก็สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก  จากนั้นก็เริ่มมีกระแสว่าไม่มีแด๊กซ์วงก็สามารถดำเนินต่อไปได้ ทำให้เกิดการแตกของวงในเวลาต่อมา เพราะแด๊กซ์นั้นรู้สึกน้อยใจ เขากล่าวว่ามันไม่ใช่ที่ที่เราอยู่แล้ว เหมือนเรานั้นถูกลดอะไรบางอย่างไป ไม่ใช่เพื่อนกันแบบเดิม

จากนั้นหลังเกิดเหตุการณ์ประกาศออกจากวง รวมถึงการที่วงมีนักร้องใหม่แล้ว แด๊กซ์ก็หยุดร้องเพลงไป จนกระทั้งทำรายการทางช่องเคเบิลทีวี ทำรายการ Rock Rider กับหรั่ง วงซิลลี่ฟูล จึงได้กลับเข้ามาสู่จุดที่เป็นนักร้องอีกครั้ง พ.ศ.2557 หลังออกจากวงบิ๊กแอส ไปได้ 3ปี เขาได้กลับมาร่วมโชว์อีกครั้งกับวงซิลลี่ฟูล แต่ในฐานะ แด๊กซ์ ร็อก ไรเดอร์ ไม่ใช่ แด๊กซ์ จากวงบิ๊กแอส อีกต่อไป เขาได้ออกซิงเกิ้ลเดี่ยวชิ้นแรก ด้วยเพลง คนตายที่หายใจ โดยที่มี หรั่งและต้น ซิลลี่ฟูลมาช่วย จนเข้ามาสู่ค่ายเดียวกัน อย่าง Me Record และยังมีตามออกมาในอีก 4 ซิงเกิล นั้นคือ เพลง กลับตัวกลับใจ , โยนหินถามทาง , อย่าปล่อยมือฉัน , ครึ่งฝัน

หากย้อนกลีบไปในปี พ.ศ. 2549 นั้น แด๊กซ์ได้เจอกับข่าวเสียหาย มารดา ของน้อง ฝ้าย อดีตนางแบบนู้ด ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ บก.ปดส. โดยให้ข้อหาพรากผู้เยาว์แก่แด๊กซ์  หลังจากที่เขานั้นไม่ยอมรับ ด.ช. จัสติน ที่เกิดกับน้องฝ้าย แต่ในภายหลังนั้นศาลได้ยกฟ้องคดีเนื่องจากจำเลยนั้นไม่ทราบอายุของผู้เสียหาย และได้ทำการตรวจดีเอ็นเอ ในภายหลัง ปรากฎว่าผลเป็นลบ

และข่าวนี้ก็ได้ส่งอิทธิพลต่ออัลบั้มหลังจากนั้น คือ Begins (2549) เพราะ กบนั้นชอบเขียนเพลงจากชีวิตของตนเองกับแด๊กซ์ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงในอัลบั้มนี้ นั้นคือ เพลง ปลุกใจเสือป่า , ข้าน้อยสมควรตาย  , Begins , คนหลงทาง

สำหรับเรื่องการกลับมาของวงบิ๊กแอสนั้น แด๊กส์ได้กล่าวว่า “ไม่สามารถที่จะตอบหรือคาดเดาได้เลย เพราะเราต่างคนนั้นต่างมีทางของตนเอง และจุดหมายของแต่ละคนไม่รู้ว่าจะไปไหน ตอนนี้ไม่ได้ปฏิเสธแต่อยากปล่อยให้เวลานั้นจัดการ”  พร้อมทั้งบอกอีกว่า  “เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกับเพื่อนๆในวงของตนนั้น เป็นความรู้สึกของตอนนั้น เวลาผ่านความคิดเปลี่ยน ตอนนั้นโกรธตอนนี้เฉยๆ  ชีวิตมันเป็นชีวิต คือสิ่งที่เรานั้นต้องเจอ ไม่ต้องคิดว่าทำไมเราถึงต้องเจอกับเรื่องนี้ มันเป็นเส้นทางที่เราเลือก จงเดินต่อไปอย่างมีสติ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เราคือเรา”